Parisut Jitpakdee, PhD

Parisut Jitpakdee, PhD

Data Management Training and Development Manager at Big Data Institute (Public Organization), BDI

บทความทั้งหมด

All Articles

Author Category Post Filter
Swarm Intelligence: พลังแห่งการรวมตัวที่น่าทึ่ง 
คุณเคยสังเกตพฤติกรรมของฝูงนกที่บินเป็นรูปตัว V บนท้องฟ้า หรือการเคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบของฝูงปลาในทะเลไหมคะ? สิ่งมีชีวิตเล็กๆเหล่านี้สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่และทำงานร่วมกันได้อย่างน่าทึ่ง โดยไม่มีผู้นำคอยสั่งการ นี่แหละค่ะคือตัวอย่างของ “Swarm Intelligence” ที่มีชื่อภาษาไทยว่า “ปัญญาแบบฝูง” หรือ “ความฉลาดแบบกลุ่ม” ซึ่งเราจะกล่าวถึงในบทความนี้  Swarm Intelligence เป็นแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ โดยนำเอาพฤติกรรมการทำงานร่วมกันของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการหาเส้นทางที่สั้นที่สุด การจัดสรรทรัพยากร หรือแม้แต่การทำนายพฤติกรรมของผู้คนในสังคม!  Swarm Intelligence คืออะไร?  Swarm Intelligence หรือปัญญาแบบฝูง เป็นระบบที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนมากที่มีความสามารถจำกัด แต่เมื่อรวมตัวกันแล้วสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ โดยอาศัยการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน  ลองนึกภาพฝูงมดที่กำลังหาอาหารดูนะคะ มดแต่ละตัวมีความสามารถจำกัด แต่เมื่อรวมกันเป็นฝูงใหญ่ พวกมันสามารถหาแหล่งอาหารและสามารถขนย้ายอาหารกลับรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การสื่อสารผ่านสารเคมีที่เรียกว่า “ฟีโรโมน”   หลักการทำงานของ Swarm Intelligence  หลักการทำงานของ Swarm Intelligence มีความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:  1. การกระจายตัว  สมาชิกในระบบจะถูกกระจายตัวออกไปทำงานโดยอิสระ และจะไม่มีตัวกลางที่คอยควบคุมทุกอย่าง ซึ่งหมายความว่าทุกสมาชิกสามารถทำงานของตัวเองได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้นำ การทำงานแบบนี้ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากมีปัญหาหรือความขัดข้องเกิดขึ้นที่จุดใดจุดหนึ่ง ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบทั้งหมด  2. การสื่อสารแบบท้องถิ่น  สมาชิกในฝูงจะสื่อสารกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้น แทนที่จะสื่อสารกับสมาชิกทั้งหมดในระบบ การสื่อสารแบบท้องถิ่นนี้ช่วยลดความซับซ้อนของการสื่อสารและทำให้การทำงานเร็วขึ้น เช่น ในฝูงนกที่บินไปด้วยกัน นกแต่ละตัวจะคอยสังเกตนกข้างๆ และปรับการบินของตัวเองตาม ทำให้ฝูงนกสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างพร้อมเพรียง  3. การตัดสินใจแบบง่าย  สมาชิกแต่ละตัวจะใช้กฎง่าย ๆ ในการตัดสินใจ เช่น การหลีกเลี่ยงการชนกับเพื่อนบ้าน การเดินตามทิศทางของกลุ่ม หรือการเคลื่อนไปยังพื้นที่ที่มีข้อมูลหรือทรัพยากรมากกว่า แม้ว่ากฎการตัดสินใจของแต่ละตัวจะง่าย แต่เมื่อรวมกันในกลุ่มจำนวนมาก ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ดูซับซ้อนและชาญฉลาด  4. การปรับตัว  สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือระบบ Swarm Intelligence สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ตามสถานการณ์ เช่น หากมีอุปสรรคเกิดขึ้นในเส้นทาง สมาชิกในระบบก็สามารถปรับเส้นทางใหม่ได้ทันที นอกจากนี้ ระบบยังสามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  5. การเกิดพฤติกรรมซับซ้อน  สิ่งที่ทำให้ Swarm Intelligence ทรงพลังคือ เมื่อสมาชิกแต่ละตัวทำงานตามกฎง่าย ๆ และสื่อสารกันในระดับท้องถิ่น การรวมกันนี้สามารถนำไปสู่การเกิดพฤติกรรมที่ซับซ้อนและดูเหมือนมีความชาญฉลาด เช่น การหาเส้นทางที่สั้นที่สุด การวางแผนการเดินทางที่ไม่ชนกัน หรือการสร้างสถาปัตยกรรมเชิงธรรมชาติอย่างรวดเร็ว  ยกตัวอย่างเช่น ในฝูงนกที่บินเป็นรูปตัว V นกแต่ละตัวจะปฏิบัติตามกฎง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ เช่น รักษาระยะห่างจากนกข้างเคียง บินไปในทิศทางเดียวกับฝูง และพยายามบินในตำแหน่งที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้คือการบินที่มีประสิทธิภาพสูงของทั้งฝูง  ตัวอย่าง Algorithms ชอง Swarm Intelligence  Swarm Intelligence มีอัลกอริธึมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพฤติกรรมธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น มด, นก, และปลา ต่อไปนี้คือตัวอย่างอัลกอริธึมที่เป็นที่รู้จักและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของแต่ละอัลกอริธึมแบบคร่าวๆ ถ้าผู้อ่านสนใจอัลกอริธึมไหน สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมตาม link ที่แนบไว้ให้ในแต่ละอัลกอริธึมได้ค่ะ  1. Ant Colony Optimization (ACO)  Ant Colony Optimization ได้แรงบันดาลใจจากพฤติกรรมการหาอาหารของมด เมื่อมดหาอาหาร มดจะปล่อยสารฟีโรโมนไว้บนเส้นทางที่เดินไป หากเส้นทางใดมีสารฟีโรโมนมาก มดตัวอื่นก็จะเลือกเดินตามเส้นทางนั้น เมื่อเวลาผ่านไป เส้นทางที่สั้นที่สุดจะมีฟีโรโมนหนาแน่นที่สุด ทำให้มดเลือกเส้นทางนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อัลกอริธึมนี้ใช้หลักการเดียวกันในการแก้ปัญหาการหาทางที่ดีที่สุดในเครือข่าย เช่น การหาทางสั้นที่สุด  ขั้นตอนพื้นฐาน:  อ่านเพิ่มเติม: Ant Colony Optimization: https://en.wikipedia.org/wiki/Ant_colony_optimization_algorithms   2. Particle Swarm Optimization (PSO)  Particle Swarm Optimization ได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวเป็นฝูงของนกและปลา โดยฝูงนี้จะเคลื่อนที่ในลักษณะที่ประสานกันเพื่อหาอาหาร อัลกอริธึม PSO จะใช้กลุ่มอนุภาค (particles) ในการสำรวจพื้นที่ค้นหา และปรับตำแหน่งโดยใช้ข้อมูลจากตำแหน่งที่ดีที่สุดที่ตนเองเคยเจอและจากเพื่อนร่วมฝูง ทำให้ทุกคนสามารถหาตำแหน่งที่ดีที่สุดได้  ขั้นตอนพื้นฐาน:  อ่านเพิ่มเติม: Particle Swarm Optimization: https://en.wikipedia.org/wiki/Particle_swarm_optimization   3. Artificial Bee Colony (ABC)  Artificial Bee Colony อ้างอิงจากพฤติกรรมการหาอาหารของผึ้งในรัง ผึ้งแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ผึ้งงาน, ผึ้งสังเกตการณ์, และผึ้งลูกเสือ ผึ้งงานจะหาแหล่งอาหารและแบ่งปันข้อมูลให้ผึ้งสังเกตการณ์เลือกแหล่งอาหารตามคุณภาพ ส่วนผึ้งลูกเสือจะออกค้นหาแหล่งอาหารใหม่ อัลกอริธึมนี้ใช้หลักการนี้ในการหาทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด  ขั้นตอนพื้นฐาน:  อ่านเพิ่มเติม: Artificial Bee Colony: https://en.wikipedia.org/wiki/Artificial_bee_colony_algorithm   4. Firefly Algorithm  Firefly Algorithm ได้แรงบันดาลใจจากพฤติกรรมการกระพริบแสงของหิ่งห้อย ซึ่งหิ่งห้อยจะถูกดึงดูดเข้าหากันตามความสว่างของแสงที่กระพริบ โดยแสงที่สว่างมากกว่าจะดึงดูดหิ่งห้อยตัวอื่นให้เข้าใกล้ อัลกอริธึมนี้นำหลักการดังกล่าวมาใช้ในการแก้ปัญหาโดยให้หิ่งห้อยที่มีความสว่างสูงแสดงถึงทางแก้ปัญหาที่ดีกว่า  ขั้นตอนพื้นฐาน:  อ่านเพิ่มเติม: Firefly Algorithm: https://en.wikipedia.org/wiki/Firefly_algorithm  ตัวอย่างการใช้งาน Swarm Intelligence  Swarm Intelligence ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน ดังนี้:  1. การจราจรและขนส่ง  Swarm Intelligence ถูกนำมาใช้ในระบบการจราจรและขนส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายและการจัดการทรัพยากร โดยมีตัวอย่างดังนี้:  2. การแพทย์และสาธารณสุข  Swarm Intelligence สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์เพื่อพัฒนาความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรค:  3. การเงินและการลงทุน  การเงินและการลงทุนเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ Swarm Intelligence มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจอย่างชาญฉลาด:  4. การผลิตและอุตสาหกรรม  ในภาคการผลิตและอุตสาหกรรม Swarm Intelligence สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น:  5. การสื่อสารและเครือข่าย  Swarm Intelligence มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและบริหารจัดการเครือข่ายการสื่อสาร:  กรณีศึกษาจริงของ Swarm Intelligence  ลองมาดูตัวอย่างการนำ Swarm Intelligence ไปใช้งานจริงกัน:  ข้อดีและข้อเสียของ Swarm Intelligence  เหมือนเทคโนโลยีอื่นๆ Swarm Intelligence ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา:  ข้อดี  ข้อเสีย  มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ทนทานต่อความผิดพลาด เพราะไม่ได้พึ่งพาตัวควบคุมหลักเพียงตัวเดียว สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้โดยใช้กฎง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ มีประสิทธิภาพสูงในการค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในปัญหาที่มีขนาดใหญ่ สามารถขยายขนาดได้ง่าย เพียงแค่เพิ่มจำนวนสมาชิกในระบบ   ยากที่จะคาดเดาพฤติกรรมของระบบได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากมีความซับซ้อนสูง อาจใช้เวลานานในการหาคำตอบที่ดีที่สุด โดยเฉพาะในปัญหาที่มีขนาดเล็ก ต้องการการปรับแต่งพารามิเตอร์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญ อาจเกิดปัญหา “การติดกับดักท้องถิ่น” (local optima) ทำให้ไม่สามารถหาคำตอบที่ดีที่สุดได้ยากที่จะอธิบายกระบวนการตัดสินใจของระบบให้มนุษย์เข้าใจได้ (black box problem)  ข้อควรระวังในการใช้งาน Swarm Intelligence  แม้ว่า Swarm Intelligence จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องคำนึงถึงเมื่อนำมาใช้งาน:  เนื่องจาก Swarm Intelligence มักต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก จึงต้องระมัดระวังในการจัดการและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะในแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือการเงิน ...
31 March 2025
Responsible AI: ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรับผิดชอบ 
ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญในหลากหลายแง่มุมของชีวิตเรา แนวคิดเรื่อง Responsible AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรับผิดชอบ จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ Responsible AI คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ ? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับแนวคิดนี้อย่างละเอียด  Responsible AI คืออะไร?  Responsible AI หมายถึงแนวทางในการพัฒนา ใช้งาน และกำกับดูแลเทคโนโลยี AI ที่คำนึงถึงผลกระทบทางจริยธรรม สังคม และกฎหมาย โดยมุ่งเน้นให้ AI สร้างประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์และสังคม ขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงและผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น  หลักการสำคัญของ Responsible AI  1. ความโปร่งใส (Transparency): ระบบ AI ควรสามารถอธิบายกระบวนการตัดสินใจได้ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจและตรวจสอบได้  2. ความเป็นธรรม (Fairness): ลดอคติและการเลือกปฏิบัติในการทำงานของ AI เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม  3. ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ (Safety and Reliability): AI ต้องทำงานอย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยมีการทดสอบและตรวจสอบอย่างรัดกุม  4. ความเป็นส่วนตัว (Privacy): ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้และเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว  5. ความรับผิดชอบ (Accountability): มีกลไกรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้ AI และมีการกำหนดผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน  6. ผลกระทบต่อสังคม (Social Impact): พิจารณาผลกระทบในวงกว้างต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม  Responsible AI เป็นแนวคิดสำคัญในการพัฒนาและใช้งานปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างความไว้วางใจ ลดความเสี่ยง และส่งเสริมนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม การนำ Responsible AI ไปปฏิบัติยังคงมีความท้าทายหลายประการ ทั้งในแง่ของความซับซ้อนของเทคโนโลยี การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการวัดผลความสำเร็จ การตระหนักถึงความสำคัญและความท้าทายเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรและผู้พัฒนาสามารถก้าวไปข้างหน้าในการสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างยั่งยืน  แนวทาง Responsible AI ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ  เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า Responsible AI ถูกนำไปปฏิบัติอย่างไรในโลกธุรกิจ เรามาดูการเปรียบเทียบแนวทางของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ได้แก่ Google, Microsoft, Amazon, IBM, OpenAI และ Facebook ดังตาราง  Google: ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความเป็นธรรมใน AI เป็นอย่างมาก โดยมีหลักการ AI ที่ชัดเจนและเครื่องมืออย่าง AI Explainability เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจการทำงานของโมเดล AI ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ Google ยังมีโครงการต่างๆ เช่น Project AI ที่มุ่งเน้นการพัฒนา AI ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  Microsoft: เน้นย้ำถึงความรับผิดชอบและความปลอดภัยในการพัฒนา AI โดยมี Responsible AI Standard เป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ทั้งหมด นอกจากนี้ Microsoft ยังมีโครงการ AI for Earth และ AI for Good ที่มุ่งใช้ AI แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม  Amazon: ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้ AI โดยมีเครื่องมือตรวจจับอคติและกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด นอกจากนี้ Amazon ยังสนับสนุนการวิจัยด้าน AI ผ่านโครงการ Amazon Scholar และนำ AI มาใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ  IBM: เน้นย้ำถึงความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และความเป็นธรรมในการพัฒนา AI โดยมีเครื่องมืออย่าง AI Fairness 360 และ AI OpenScale เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างโมเดล AI ที่เป็นธรรมและโปร่งใส นอกจากนี้ IBM ยังมีโครงการ Project Debater ที่พัฒนา AI เพื่อโต้แย้งกับมนุษย์  OpenAI: เน้นย้ำถึงความปลอดภัยและประโยชน์ต่อมนุษยชาติในการพัฒนา AI โดยใช้เทคนิค Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) เพื่อฝึกสอนโมเดล AI ให้เป็นไปตามค่าที่มนุษย์ต้องการ นอกจากนี้ OpenAI ยังเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับโมเดล AI เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส  Meta (Facebook): เน้นย้ำถึงความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบในการพัฒนา AI โดยมีเครื่องมือ Fairness Flow เพื่อช่วยให้นักพัฒนาตรวจสอบและแก้ไขปัญหาอคติในโมเดล AI นอกจากนี้ Meta ยังมี Oversight Board เพื่อตรวจสอบการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัทเกี่ยวกับเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม  บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้ต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างรับผิดชอบ โดยมีแนวทางและเครื่องมือที่หลากหลายเพื่อช่วยให้มั่นใจว่า AI จะถูกนำมาใช้ในทางที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อสังคม  แนวทาง Responsible AI ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย  สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีกรอบการทำงานหรือแนวทางปฏิบัติด้าน Responsible AI ที่เป็นทางการ แต่ก็มีความพยายามในการพัฒนาในด้านนี้ สรุปสถานการณ์ปัจจุบันของไทยได้ดังนี้:  1. ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ:     กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ได้จัดทำ “ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ” ซึ่งมีการกล่าวถึงประเด็นด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบในการพัฒนาและใช้งาน AI โดยหลักการสำคัญที่สะท้อนถึงแนวคิด Responsible AI ในยุทธศาสตร์ฯ ได้แก่   การพัฒนาอย่างยั่งยืน: เน้นการนำ AI มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม  ความโปร่งใส: การพัฒนาและใช้งาน AI ต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และสามารถอธิบายได้ว่า AI ทำงานอย่างไร  ความเป็นธรรม: การออกแบบและพัฒนา AI ต้องปราศจากอคติ และไม่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียม  ความปลอดภัย: การพัฒนาและใช้งาน AI ต้องมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน  ความรับผิดชอบ: ผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดจากการใช้งาน AI  2. แนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ของ ETDA:     แนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI Ethics Guideline ที่จัดทำโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สพธอ.) หรือ ETDA นั้น...
30 August 2024
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.