Punsapach Bumrungwong

Punsapach Bumrungwong

Project Manager & Data Scientist at Big Data Institute (Public Organization), BDI

บทความทั้งหมด

All Articles

Author Category Post Filter
เครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะที่นิยมในปัจจุบัน (BI Tools)
Gartner’s Magic Quadrant คือ ชื่อรายงานการวิจัยทางการตลาด (Market Research Reports) ซึ่งจะมีการจัดทำขึ้นทุกๆ 1 – 2 ปี จัดทำโดยบริษัท Garner Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการวิจัยและให้คำปรึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดประสงค์เพื่อทำการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด รวมทั้งทิศทาง, พัฒนาการของเทคโนโลยี และผู้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ รายงานการวิจัยดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อบริษัทหรือองค์กรที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและธุรกิจของตนเอง รวมไปถึงรายงานการวิจัยยังมีการบ่งบอกถึงจุดแข็งและข้อควรระวังเปรียบเทียบกันระหว่างผลิตภัณฑ์ ซึ่งในรูปด้านล่าง Gartner ได้แสดงจุดแข็งและข้อควรระวังในผลิตภัณฑ์ Business Intelligence Tools (BI Tools) โดย Vendor ต่าง ๆ จากรูปที่แสดงด้านบน ยิ่งตำแหน่งของผลิตภัณฑ์อยู่ด้านขวาของกราฟมาก แสดงว่าผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตนเองให้ตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานในตลาดผู้ใช้ปัจจุบัน และยิ่งอยู่ตำแหน่งของกราฟที่สูงมาก บ่งบอกถึง จำนวนผู้ใช้งานหรือส่วนแบ่งการตลาดที่สูงเช่นกัน โดยกราฟจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เพื่อแสดงความสามารถของแต่ละซอฟต์แวร์ ได้แก่ จากรายงานการวิจัยทางการตลาดของ Garner Inc. จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะมากมายจากหลากหลายผู้พัฒนา แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนั้นมี 3 เครื่องมือ นั่นคือ Power BI จาก Microsoft, Tableau จาก Salesforce และ Google Data Studio จาก Google ซึ่งต่างมีความสามารถในการดึงข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อสร้าง Dashboard โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรม อย่างไรก็ตาม แต่ละเครื่องมือมีความโดดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันดังนี้ เนื่องจากแต่ละเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะล้วนแต่มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจำเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้งานสำหรับแต่ละองค์กร ทั้งในมิติของราคา ค่าใช้จ่าย ที่องค์กรพร้อมลงทุน และความเหมาะสมนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีอื่นที่องค์กรใช้งานอยู่แล้วเดิม เพื่อให้เครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลที่องค์กรเก็บรวบรวมไว้อยู่เดิม และสามารถนำมาเสนอในรูปแบบแดชบอร์ดที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงขององค์กร  เปรียบเทียบเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะ (BI Tools)   Power BI Desktop Tableau Google Data Studio จุดเด่น สามารถนำข้อมูลมากกว่าหนึ่งแหล่งและหลากหลายรูปแบบ เพื่อมาใช้วิเคราะห์ร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่นการนำข้อมูลจากใน Excel มาวิเคราะห์คู่กับข้อมูลในฐานข้อมูล   ออกแบบเรียบง่ายสำหรับการใช้งาน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงเทคนิคในการสร้างแดชบอร์ดที่ซับซ้อน   กรณีที่หน่วยงานมีการใช้ Microsoft office 365 อยู่แล้ว บุคลากรภายในองค์กรสามารถใช้ตัว PowerBI และเผยแพร่ต่อสาธารณชนผ่าน URL ได้เลย มีฟังก์ชันที่สามารถจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนได้ ทำให้ขั้นตอนการทำความสะอาดข้อมูลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น   มีซอฟต์แวร์เสริมส่วนที่ชื่อว่า Tableau Prep ที่สามารถใช้ออกแบบ data pipeline เพื่อไปแสดงผลไปยังแดชบอร์ด   มีประเภทกราฟให้เลือกหลากหลาย และสามารถปรับแต่งแต่ละกราฟได้อย่างละเอียด   สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลจากระบบต่าง ๆ ของ Google ได้ยกตัวอย่างเช่น Google Analytics, Adword, BigQuery   เน้นระบบคลาวด์ ที่สามารถใช้งานได้รวดเร็ว ในกรณีที่ทำงานกันกับซอฟต์แวร์อื่นของ Google   มีฟังก์ชันในการแชร์ตัวงานให้กับทีม เพื่อร่วมกันพัฒนาตัวแดชบอร์ดได้ กลุ่มผู้ใช้งาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคุ้นชินการใช้งานของ Microsoft Excel  และเหมาะกับองค์กรที่ใช้ Microsoft Office 365 อยู่แล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อน ปรับสร้างกราฟแบบละเอียด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นอยากลองใช้ Business Intelligence Tool เริ่มเปิด ใช้งานครั้งแรก 2015 2004 2016 ราคา $9.99/คน/เดือน (Power Bi Pro) $70/คน/เดือน(Tableau Creator) ฟรี รองรับการสร้าง/ปรับแต่ง Desktop Desktop Desktop และ Mobile ระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น   Windows/macOS   ใช้งาน Online ผ่าน Web Browser ความเห็นของจากมุมมองผู้พัฒนาแดชบอร์ด   Power BI Desktop Tableau Google Data Studio ข้อได้เปรียบ ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้   สำหรับผู้ที่คุ้นชินการใช้งาน Microsoft Excel จะสามารถเรียนรู้การใช้งาน Power BI ได้เร็ว   ตัวเลือกกราฟหลากหลาย   สามารถแสดงข้อมูลเชิงแผนที่ได้พอใช้   Interaction บนกราฟค่อนข้างเร็ว ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้   ตัวเลือกกราฟหลากหลาย   สามารถแสดงข้อมูลเชิงแผนที่ได้ดี   Interaction บนกราฟรวดเร็ว ใช้งานได้ฟรี ข้อเสียเปรียบ มีค่าใช้จ่าย แต่มีเวอร์ชันทดลองใช้ที่สามารถใช้งานได้ฟรี ราคาค่อนข้างสูง การจัดการข้อมูลมีข้อจำกัดมาก   ตัวเลือกกราฟมีจำกัด   Interaction บนกราฟค่อนข้างช้า อ้างอิง เปรียบเทียบเครื่องมือธุรกิจอัจฉริยะ บทความเกี่ยวกับ Tableau Software บน Wikipedia เนื้อหาโดย พรรษพัชร์ บำรุงวงศ์ ตรวจทานและปรับปรุงโดย ปพจน์​ ธรรมเจริญพร
6 October 2022
เมื่อข้อมูลมาเยือนสวนสนุกอย่าง Disney World
หากพูดถึง Disney คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ที่มีธุรกิจอยู่ในมือมากมาย และหนึ่งในธุรกิจที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั้นก็คือ ธุรกิจด้านสวนสนุกอย่าง Disney World ดินแดนในความฝันของใครหลายคน โดยบทความนี้จะมาเล่าถึงว่า การที่ Disney เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง พวกเขาได้มีการนำเอาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ไปใช้เพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนสวนสนุกอย่าง Disney World อย่างไร ทำไม Disney World ถึงดึงดูดใจผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนสวนสนุกซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่มีเบื่อ Disney ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อพัฒนาธุรกิจของตนได้อย่างไร? Disney ได้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับการบริหารสวนสนุกเพื่อสร้างความบันเทิงที่เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น การเก็บข้อมูลจำนวนมากของ Disney ทำให้บริษัทสามารถเข้าใจพฤติกรรมที่ผ่านมาของลูกค้าและสามารถนำเสนอสิ่งใหม่ๆผ่านการพยากรณ์ด้วยข้อมูล โดยการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบนี้คือการวิเคราะห์พฤติกรรม (behavioral analytics) Behavioral analytics คือการวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบหนึ่งที่มุ่งเน้นในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มบุคคล การวิเคราะห์ประเภทนี้ถูกใช้มากในเชิงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ธุรกิจเกม social media และธุรกิจอื่นๆที่จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ประเภทนี้เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ต้องการ การไปเที่ยวที่ Disney World ในทุกวันนี้เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่การวางแผนจะไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่าย โดยแขกที่ต้องการไปเที่ยวจำเป็นต้องจองการเดินทาง หาที่พัก และซื้อตั๋วเข้าแยกกันทั้งหมด มากไปกว่านั้นการจะเข้าไปใน Disney World นั้น ต้องพิมพ์ตั๋วออกมาเพื่อใช้ยื่นเข้าสวนสนุกทุกครั้ง เมื่อเข้าไปในตัวสวนสนุกแล้ว ผู้เข้าชมเองต้องหาแผนที่ วางแผนสำหรับวันนั้นๆรวมไปถึงตามหาทุกอย่างด้วยตนเอง หลังจากหาที่ที่ต้องการจะไปเจอแล้ว ยังต้องพบเจอกับการต่อคิวอีกยาวนาน ดังนั้นในปี 2013 Disney World ได้มีการใช้ MagicBand ในโครงการ MyMagic+ ซึ่งช่วยให้ Disney World มีลูกค้ามากขึ้นถึง 3,000 คนต่อวัน โดยสายรัดข้อมือนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆในรีสอร์ทได้มากขึ้น รวมไปถึงทุกวันนี้ลูกค้าสามารถรับประสบการณ์จาก Disney World ได้อย่างสะดวกสบาย ลูกค้าที่เข้าพักที่ Disney World จะได้รับแผนการเที่ยวที่เหมาะสมกับพวกเขา แผนที่ดิจิตอลบนโทรศัพท์มือถือ สายรัดข้อมือที่เป็นได้ทั้งตั๋วและกุญแจเข้าห้องพัก รวมทั้งการเที่ยวในสวนสนุกโดยไม่ต้องต่อคิวผ่านระบบการจองพร้อมทั้งบัตรผ่าน ซึ่งมีความแตกต่างจากหลายปีก่อน “หนึ่งในโครงการสำคัญที่ Disney ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ MyMagic+ ซึ่งประกอบด้วย FastPass+, Magic Bands และ My Disney Experience” ลองมาดูกันว่า Disney World ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็นประโยชน์อย่างไร เพื่อความสะดวกสบายของแขกและคนทำงาน บอร์ดบริหาร Disney มีนักธุรกิจด้านเทคโนโลยีหลายคนอยู่ในบอร์ดบริหาร ดังนั้นบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่นี้คงจะใช้ทั้งการเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับการเรียนรู้ด้วยตนเองของระบบคอมพิวเตอร์ในการพัฒนาธุรกิจของตน บอร์ดบริหารของ Disney ประกอบไปด้วย Jack Dorsey ประธานกรรมการบริหาร (ผู้คิดค้น Twitter), Sheryl Sanberg (ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook), John Chen (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Blackberry) และ Robert (Bob) Iger ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Walt Disney Robert ได้พูดว่าหลังจากที่โครงการวิเคราะห์ข้อมูลจาก call center ถูกตั้งขึ้น โครงการนี้สร้างรายได้ให้กับ Disney มากกว่า 10 เท่าของเงินทุนภายในปีแรก “การใช้ข้อมูลพวกนี้ช่วยให้ Disney สามารถบริหารพนักงานในสวนสนุกได้ดีขึ้นกว่า 20%” Robert Iger ประสบการณ์ส่วนตัวที่สะดวกสบายกับ MagicBand (ระบบเครือข่ายข้อมูลราคา 1 พันล้านเหรียญ) MagicBand ถูกใช้ครั้งแรกในปี 2013 ที่ Disney Word ใน Orlando FL สายรัดข้อมือนี้ใช้เทคโนโลยีสัญญาณวิทยุระยะใกล้ (RFID) และสัญญาณความถี่ 2.4 GHz เพื่อตามหาตำแหน่งของคุณในสวนสนุก และมันยังกันน้ำอีกด้วย เสาอากาศระยะไกลจะใช้จุดรับสัญญาณภายในสวนสนุกเพื่อส่งข้อมูลให้ Disney รู้ว่าลูกค้าของพวกเขาใช้เวลาในสวนสนุกบริเวณไหนบ้าง สายรัดข้อมือนี้สามารถให้ผู้ใช้เปลี่ยนสี ตกแต่ง และสลักชื่อได้ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความรู้สึกเป็นของส่วนตัวมากขึ้น ความสามารถของสายรัดข้อมือ MagicBand: –         เป็นบัตรผ่านเข้าสวนสนุก –         เป็นกุญแจเข้าห้องพัก –         เป็นบัตรด่วนสำหรับการเข้าใช้ (Fast Pass) –         ใช้จ่ายที่ Disney shop และร้านอาหาร –         ตัวละคร Disney ในสวนสนุกจะเห็นคุณ –         เชื่อมต่อกับบัญชี Disney memory maker หรือ PhotoPass ตอนนี้คุณก็รู้ความสามารถของ MagicBand แล้ว แล้วสายรัดข้อมือที่เราคุ้นเคยนี้ทำอะไรให้กับบริษัท Disney ได้บ้าง? อย่างแรกคือสายรัดข้อมือนี้จะทำให้ Disney รู้ว่าคุณทานหรือดื่มอะไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ รวมทั้งราคาที่คุณจ่ายด้วย นอกจากนี้ยังบอกได้ว่าคุณใช้เครื่องเล่นไหนด้วย FastPass+ เวลาไหนที่คุณเข้าสวนสนุกและออก เวลาไหนที่คุณออกจากรีสอร์ทและเวลาที่คุณกลับมา วันนั้นๆคุณได้ไปที่สวนสนุกหรือเปล่า คุณถ่ายรูปกับตัวละคร Disney ในสวนสนุกที่ไหนและเมื่อไหร่ คุณซื้อของที่ระลึกเป็นอะไร ซื้อที่ไหน เมื่อไหร่ และซื้อในราคาเท่าไหร่ ความสะดวกสบายที่ Disney มอบให้กับแขกเริ่มตั้งแต่ที่สนามบิน หากแขกของ Disney World ได้ลงทะเบียนใช้งาน Magical Express เพียงแค่แสดงสายรัดข้อมือ MagicBand ก่อนขึ้นรถไปที่ Disney Resort กระเป๋าเดินทางของพวกเขาจะถูกส่งตรงจากสนามบินไปที่ที่พักทันที ผู้รับบริการจะไม่ต้องต่อแถวเพื่อรอรับกระเป๋า หาแท็กซี่ไปที่พัก ต่อคิวรอเช็คอิน และยกกระเป๋าไปที่ห้องพักด้วยตนเอง ทุกอย่างถูกจัดการด้วยข้อมูลที่ส่งผ่านสายรัดข้อมือนี้ โครงการ FastPass+ หนึ่งในความท้าทายสำหรับ Disney รวมทั้งสวนสนุกอื่นๆทั้งหมด คือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าของพวกเขาใช้เวลาต่อคิวรอเครื่องเล่นน้อยที่สุด ที่สิ่งนี้เป็นปัญหาเพราะการที่ลูกค้าใช้เวลากับการต่อแถวรอเท่ากับว่าพวกเขาจะไม่ได้ใช้เงินกับสิ่งอื่นๆในสวนสนุก เช่น การช้อปปิ้ง หรือทานอาหาร แขก Disney World ที่ใช้ FastPass+ สามารถทำการจองการเข้าชมอีเวนท์ จุดเยี่ยมชม หรือจองตัวละคร Disney ไว้ได้ ผู้ใช้งาน FastPass+ สามารถลัดคิวต่างๆรวมทั้งได้รับกำหนดการส่วนตัวเพื่อการเดินทางในสวนสนุกที่สะดวกสบายที่สุด แขกเหล่านั้นจะไม่ต้องใช้เวลาตามหาจุดเยี่ยมชมหรือเครื่องเล่นต่างๆอีกต่อไป เพราะมันถูกวางแผนไว้ให้พวกเขาหมดแล้ว การปรับเปลี่ยนตามผู้ใช้งานนี้ทำให้ Disney รู้ทันลูกค้าของพวกเขาเสมอ เมื่อลูกค้าใช้สายรัดข้อมือผ่านเข้าเครื่องเล่นใดๆ ข้อมูลจะถูกส่งไปที่ทีมประเมินเพื่อตัดสินใจว่าต้องทำอย่างไรต่อ เช่น เพิ่มเจ้าหน้าที่บริเวณนั้นๆ หรือวางแผนให้ลูกค้าไปที่จุดเยี่ยมชมหรือเครื่องเล่นใดต่อ การปรับเปลี่ยนแผนของลูกค้าเช่นนี้ทำให้ Disney สามารถใช้สวนสนุกที่มีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลูกค้าได้รับประสบการณ์ในสวนสนุกที่ดีขึ้น ระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองของคอมพิวเตอร์ (Machine learning) และข้อมูลขนาดใหญ่ Disney ได้ทำการเก็บข้อมูลด้วยการติดตามปฏิกิริยาของผู้ชมระหว่างชมภาพยนต์ของ Disney โดยการใช้ระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบหนึ่งที่เรียกว่าโครงข่ายประสาทเทียม โดยปกติแล้วบริษัทจะสามารถเก็บข้อมูลโดยการให้ผู้ชมตอบคำถามหลังจากที่ได้ชมภาพยนต์แล้ว แต่ด้วยวิธีนี้ทำให้บริษัทสามารถเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ต่อไปได้มากขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้คือ กระบวนการวิเคราะห์อารมณ์หรือความรู้สึก และคาดว่าจะมีการติดตั้งกล้องที่สามารถเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้ในจุดต่างๆที่สวนสนุก Disney World Disney...
29 April 2022
เทคโนโลยี AI ที่จะปฏิวัติการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
นวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้านของโลก ซึ่ง ณ ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กร หรือ อุตสาหกรรมใด ๆ นั้น อยากที่จะมีปัญญาประดิษฐ์ หรือที่ เรียกว่า AI ที่มีความก้าวหน้า และมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำ เข้ามาเป็นหนึ่งในกระบวนการทำงานขององค์กร แต่ยังมีอีกหัวข้อที่ฮอตฮิตและถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากตั้งแต่ต้นปี 2021 คู่ขนานกับ AI นั้นก็คือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ถึงขนาดที่ว่าเมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Elon Musk ได้ออกมาประกาศว่าสามารถใช้ Bitcoin (หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี) ซื้อรถ Tesla ได้ จากข้อความที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นได้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ณ ขณะนี้ไม่แพ้กันกับปัญญาประดิษฐ์ โดยบทความนี้จะพูดถึงว่าปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทในยุคของคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ลองติดตามอ่านจากบทความนี้ได้เลยค่ะ ปัญญาประดิษฐ์ทำให้เกิดเทคโนโลยี ดั่งที่บล็อกเชนทำให้เกิดอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี หลายบริษัทสตาร์ทอัพมีความกระหายที่จะได้เงินหรือได้ประโยชน์ จากกระบวนการวิเคราะห์เชิงลึกของปัญญาประดิษฐ์นี้ ที่มีความฉลาดคล้ายคลึงมนุษย์ และสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นการกระทำได้ ดังนั้นบริษัทที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานจึงสามารถดึงดูดเงินทุนได้มากกว่าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆถึง 15-50% ในภาคการเงินแบบดั้งเดิม อย่างเช่นตลาดหุ้นนั้น ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในด้านการใช้ดูแลพอร์ตการลงทุน หรือในการวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นมาลงทุนในแต่ละช่วงเวลาโดยมีหลักฐานที่น่าสนใจที่แสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้ดีกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังมีการศึกษาล่าสุดพบว่าคอมพิวเตอร์สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีในแง่ของการตัดสินใจในการลงทุนได้ดีกว่าการจัดการโดยคนอย่างมีนัยสำคัญ แล้วในโลกการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง? ปัญญาประดิษฐ์จะส่งผลกระทบอะไรต่ออุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี? ท้ายที่สุดการเพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์จะทำให้การเทรดโดยมนุษย์ล้าสมัยลงไปหรือไม่? ด้วยการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถสร้างวันซื้อขายได้หลายล้านล้านวันและทำให้เกิดการซื้อขายแบบอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามนุษย์ การตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเป็นหลักนั้นจะช่วยขจัดสิ่งที่ครอบงำนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่มีอคติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถป้องกันไม่ให้พวกเขาดำเนินการซื้อขายอย่างไร้เหตุผล คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำกว่ามนุษย์ สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วและตอนนี้ได้ถูกนำไปใช้กับภาคส่วนคริปโทเคอร์เรนซี ด้วยผลลัพธ์ที่น่าเชื่อที่พอกันกับความสามารถของมนุษย์ แล้วปัญญาประดิษฐ์คืออะไร? ปัญญาประดิษฐ์เป็นองค์ประกอบรวม เกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักรที่มีความชาญฉลาดและมีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานที่โดยปกติแล้วจะต้องใช้ข้อมูลและสติปัญญาของมนุษย์ ในวันนี้ปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning ได้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ทุกภาคส่วนของโลกเศรษฐกิจสังคมและตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน แล้วคริปโทเคอร์เรนซีล่ะ คืออะไร หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ Cryptocurrency ก็คือ เงินตราเข้ารหัสลับโดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ที่เก็บข้อมูลแบบกระจายออกไปหลาย ๆ ส่วน หลาย ๆ ก้อนที่เชื่อมโยงกันเหมือนโซ่ ไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีการควบคุมจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีก็ถือเป็นเด็กใหม่ในภาคกลุ่มการเงิน โดยนับตั้งแต่ปี 2017 ได้มีการพูดถึงอย่างกว้างขว้างถึงการเติบโตของสกุลเงินนี้ ผู้คนนับล้านได้เข้าสู่วงการคริปโทเคอร์เรนซี อีกทั้งปัญญาประดิษฐ์ก็มีศักยภาพอย่างมากที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีในหลากหลายด้านอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนและเพื่อที่จะต่อสู้กับความผันผวนของมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซี นักพัฒนาจึงได้สร้างแบบจำลองจากเครือข่ายประสาทประดิษฐ์ (Neural Network) ไว้รองรับ โดยที่มีความแม่นยำมากขึ้นในการคาดการณ์ พวกมันสามารถวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีที่มีอยู่ เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ของตลาดได้เป็นรายนาที โดยความสำคัญของการคาดการณ์ขึ้นอยู่กับพลังการคำนวณของคอมพิวเตอร์ ความซับซ้อนของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือ คุณภาพกับปริมาณของข้อมูลที่วิเคราะห์ การเทรดด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถที่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้ การเทรดด้วยความถี่สูง เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคเฉพาะบนแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย โดยเป้าหมายหลักคือการตอบสนองต่อการซื้อขายที่เร็วขึ้นและใช้ประโยชน์จากการพุ่งขึ้นของราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ การเทรดด้วยความถี่สูงนี้ใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์สัญญาณทางเทคนิคในหลาย ๆ ตลาดพร้อมกัน และดำเนินการส่งคำสั่งซื้อขายในตลาดหุ้น และตลาดแลกเปลี่ยนต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อการซื้อขายที่เคลื่อนไหวได้อย่างสอดคล้องและราบรื่นโดยอัตโนมัติ ทำให้มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากภายในไม่กี่วินาที ตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ ได้ทำการซื้อแล้วขายหุ้นตัวเดียวกันในราคาเดียวกันซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ เพื่อเป็นการหยั่งเชิงล่อให้นักลงทุนรายอื่นมาเล่นตาม หากมีแรงซื้อเข้ามาก็จะดันขึ้นไปสัก 2-3 ช่องแล้วขายทำกำไร และจะมีพฤติกรรมลักษณะดังกล่าวนี้อีกหลายรอบซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเทรดนั้นนักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ซอฟต์แวร์ใช้พารามิเตอร์แบบไหนในการตัดสินใจดำเนินการ การวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) หรือที่ เรียกกันว่า การขุดคุ้ยค้นหาความคิดเห็น (Opinion Mining) นั้นเป็นศาสตร์ย่อยศาสตร์หนึ่งของการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) ซึ่งกระบวนการนี้จะพยายามระบุและสกัดเอาความคิดเห็นออกมาจากข้อความที่กำหนด รวมไปถึง การวิเคราะห์ข้อมูลจากบล็อก บทความ โซเชียลมีเดีย กระดานข้อความที่เกี่ยวกับหุ้น กระแสข่าวในสังคม การถอดเสียงวิดีโอ และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตลาดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ณ ขณะนั้น เพราะอารมณ์ความรู้สึกอาจเป็นแต้มต่อที่มีผลมากที่สุดสำหรับนักลงทุน อิทธิพลของมันที่มีต่อการตัดสินใจลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถช่วยวิเคราะห์ข้อความตัวอักษรจากหลายแหล่งเพื่อสกัดหาและตรวจจับอารมณ์ความรู้สึกของตลาดได้อย่างละเอียดแม่นยำ สิ่งนี้จะช่วยให้การลงทุนของเรามีกำไรได้ หุ้นและคริปโทเคอร์เรนซีมีความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ด้าน หนึ่งในความคล้ายคลึงกันนั้นก็คือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อตัดสินใจซื้อขาย รวมถึงการประเมินมูลค่าเหรียญก็ต้องใช้การวัดปัจจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเช่นกัน โดยปัญญาประดิษฐ์นั้นสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้รวดเร็วแม่นยำกว่ามนุษย์ อีกทั้งปัญญาประดิษฐ์ยังสามารถค้นหารูปแบบ (pattern) ที่เป็นตัวชี้นำราคาหุ้นในอนาคตได้อีกด้วย วิธีนี้ช่วยลดอคติที่มนุษย์อาจมีเมื่อทำการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่าง ๆ ความคิดเห็นในช่วงท้าย เพื่อให้ได้เปรียบในการแข่งขัน นักลงทุนได้นำเทคโนโลยีล่าสุดมาประยุกต์ใช้ และปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ในขณะที่มีวิธีอื่น ๆ ที่สามารถช่วยให้นักลงทุนทั่วไปวิเคราะห์ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีได้ อย่างไรก็ตามยังต้องมีการใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์ที่เปรียบเสมือนไฟส่องสว่างในทางที่มืดมนในตลาดเหล่านี้จนทำให้มีกำไรขึ้นได้ แม้จะมีประโยชน์ของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ในตลาด แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะต้องเข้าใจว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์และมันก็ไม่ได้คาดการณ์ถูกต้องเสมอไปทุกครั้ง ปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นเครื่องมือที่ล้ำค่าสำหรับการวิเคราะห์และการลงทุน แต่ท้ายสุดปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่งในกล่องที่มีเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับการลงทุนและการซื้อขายโดยทั่วไปก็เท่านั้นเอง ที่มา https://medium.com/the-capital/ai-technology-revolutionizes-cryptocurrency-trading-e52a12dffd47 https://hackernoon.com/ai-and-cryptocurrency-interactions-you-may-not-know-about-r51431o1
5 May 2021
5G และ AI: เทคโนโลยีสำคัญ ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตลอดกาล
เมื่อระบบ 5G เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลที่มีความซับซ้อนและมีปริมาณมาก โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆ เช่น ตัวส่งข้อมูลปลายสาย (End Point) หรือที่เรียกว่า IoT (Internet of Things) ที่เราคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี การบริหารจัดการ BIG DATA , AI (Artificial Intelligence), ML (Machine Learning) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้การรับส่งสัญญาณผ่าน Platform ทั้งเครือข่ายอันเป็น Infrastructure สำคัญนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดเทคโนโลยี 5G และ AI ซึ่งเป็น 2 เทคโนโลยีสำคัญที่กำลัง “มาแรง” ในประเทศไทย และเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยความสำคัญดังกล่าว บทความนี้จะขอพูดถึง AI ผนวกกับนวัตกรรมดิจิทัล 5G ว่าทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้จะสามารถทำงานร่วมกัน และก่อให้เกิด Disruption ที่กระทบอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ  รวมไปถึงส่งผลต่องานวิศวกรรม ธุรกิจ และการบริหารงานทุกชนิดขึ้นได้อย่างไร การผนวกรวมของสองเทคโนโลยีดังกล่าวนับเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถก้าวทันโลกเทคโนโลยีและสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อ AI เปี่ยมไปด้วยความชาญฉลาดคล้ายความฉลาดของมนุษย์ มีความสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้จากการประมวลผลของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ด้วยสาเหตุดังกล่าวหลายคนจึงอาจเกิดความระแวงว่าเทคโนโลยี AI นี้จะมาแย่งงานมนุษย์ และอนาคตข้างหน้า AI จะสามารถยึดครองโลก แล้วมนุษย์จะสูญพันธุ์ ความกลัวดังกล่าวนี้เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจมัน ตอนนี้อาจเกิดข้อสงสัยแล้วว่าเทคโนโลยี 5G จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ  AI  ได้อย่างไร แต่ก่อนจะไปเล่าขยายความถึง 5G อันเป็น Generation ของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่เรากำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เราลองมาไล่เรียงเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายในแต่ละยุคกันก่อน โดยเริ่มจากในยุคแรก ได้แก่ ยุค 1G ในยุคนั้นเราพูดคุยกันด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือระบบอนาล็อก (Analog) ก่อนจะเริ่มพัฒนาการสื่อสารให้ครอบคลุมถึงการส่งข้อความ ไม่ว่าจะเป็น sms หรือ mms อันเป็นจุดเด่นสำคัญของยุค 2G จนกระทั่งพัฒนาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการเข้าสู่ยุค 3G ที่เราสามารถเชื่อมต่อและเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น (อยู่ระหว่าง 220 Kbps ถึง 42.2 Mbps) จนเข้ามาถึงยุค 4G ที่เราสามารถเห็นภาพ รับฟังเสียง หรือดูหนังออนไลน์ได้ เนื่องจากมีความเร็วหลากหลายระดับให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น 4G LTE (100 Mbps), LTE Advanced (1 Gbps) ภายใต้การทำงานบนเครือข่าย 5G ที่มาพร้อมกับความกว้างของแบนด์วิดธ์ (Bandwidth) ที่เพิ่มขึ้นอันขยายขีดจำกัดให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ได้เพิ่มมากขึ้นสำหรับในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งความหน่วงเวลาที่ลดลงยังช่วยให้การถ่ายทอดสตรีมมิ่งวิดีโอเป็นไปอย่างลื่นไหล ไม่สะดุด ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ภายในพริบตาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ หรือภาคประชาชนต่างก็ต้องการนำเอาเทคโนโลยีที่มีความเร็วสูงในระดับ 5G มาใช้เป็นเป็นพื้นฐานหลักสำคัญในการพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันแทบทั้งสิ้น จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นแล้วว่าการพัฒนาขึ้นของทั้ง 2 เทคโนโลยี ได้แก่ 5G และ AI ก่อให้เกิดทั้งความท้าทายใหม่  (New challenges) และ โอกาสใหม่ (New opportunities) ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการใช้ทั้ง 2 เทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน 5G Develop AI หัวข้อนี้เราจะมาเริ่มไขข้อสงสัยที่ว่า 5G จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ  AI  เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ได้อย่างไร จากที่เกริ่นมาข้างต้นจะเห็นว่าในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยี 5G จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเชื่อมโยงข้อมูลมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ เช่นการเชื่อมโยงข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องมือ IoT ที่เรามักคุ้นหน้าคุ้นตากันในรูปแบบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รอบตัวของเรานั่นเอง จากการพัฒนาดังกล่าวช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งในส่วนข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาล หรือที่มีความซับซ้อนเชิงรูปแบบ แน่นอนว่าการที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกับสมาร์ทโฟนและเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจจับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว จะสามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างอัจฉริยะจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดย AI จะเข้ามาช่วยเรียนรู้ ค้นหา และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ เทคโนโลยี 5G จะช่วยรับมือกับการไหลของข้อมูลปริมาณมากที่มาจากอุปกรณ์บ้าน ๆ ธรรมดา ๆ ที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้อย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดแนวคิดของ Edge Analytics มีความหมายอย่างกว้าง ๆ ก็คือการสร้างโมเดลวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) รูปแบบใหม่ ผ่านการกระจายข้อมูลไปประมวลผลบนเครื่องมือปลายทางโดยไม่มีจุดศูนย์กลางของระบบ  ยกตัวอย่างเช่น การใช้หุ่นยนต์ที่มี RFID (Radio Frequency Identification) ในการตรวจนับสินค้าในคลังผ่านเทคโนโลยี IoT โดย 5G จะช่วยเชื่อมต่อข้อมูลจากหุ่นยนต์หลายตัว เข้าสู่ระบบออนไลน์ให้เกิดขึ้นได้อย่างเสถียรและสุดท้ายจะนำ AI มาใช้ในส่วนของการสร้างและจดจำแผนที่ของคลังสินค้า เพื่อไม่ให้หุ่นยนต์เดินไปนับสินค้าในตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งที่มีหุ่นยนต์ตัวอื่นตรวจเช็คไปก่อนหน้าแล้ว AI Develop 5G และในทางกลับกันลองนึกภาพว่าเราจะสามารถใช้ ระบบ AI กับ 5G เพื่อพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคม ให้เป็น Communication ที่สมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อ AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและกุญแจสำคัญในการใช้ปรับปรุงระบบไร้สายโดยการมุ่งเน้นไปที่ความท้าทายด้านระบบไร้สายที่สำคัญ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ให้กับทั้งระบบเครือข่ายเทคโนโลยี 5G และ อุปกรณ์ต่าง ๆ โดย AI จะใช้ Machine learning ในการเรียนรู้เพื่อลดความซับซ้อนในการจัดการเครือข่าย 5G โดยการช่วยระบุ node ที่มีความจำเป็นน้อยและอาจตัดออกจากเครือข่ายได้และตรวจสอบการใช้งานให้มีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ช่วยระบุปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งวินิจฉัย และแก้ไขปัญหาของเครือข่ายได้โดยอัตโนมัติ มากไปกว่านั้นยังสามารถคาดเดาปัญหาได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงจากรูปแบบการใช้งานย้อนหลัง นอกจากนี้ AI ยังช่วย บริษัทโทรคมนาคมในการออกแบบบริการ 5G ใหม่ ๆ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อให้แน่ใจว่ามีทรัพยากรเครือข่ายที่เพียงพอและระบุตำแหน่งที่ต้องการได้มากยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้น AI ในอุปกรณ์ (AI on Device) จะช่วยปรับปรุงระบบในอุปกรณ์นั้น ๆ แบบ end-to-end โดย AI จะเรียนรู้อัลกอริธึมและรูปแบบของสัญญาณคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ที่ซับซ้อนของอุปกรณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสัญญาณ รวมไปถึง เพิ่มวงจรชีวิตของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนาน และที่สำคัญยังเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้งานโดยเทคโนโลยี AI So, what’s next? เมื่อทั้งเทคโนโลยี 5g และ AI สามารถส่งเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีก่อให้เกิดรูปแบบการบริการ หรือ นวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อลดข้อผิดพลาด และอำนวยความสะดวก ให้มนุษย์อย่างเรามากยิ่งขึ้นส่งผลให้รูปแบบการใช้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเป็นเหตุให้ในอนาคตปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จคือรูปแบบของธุรกิจที่ตอบโจทย์กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น...
11 January 2021
การใช้ Wireless signal ร่วมกับ AI เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่บ้าน
มาดูกันว่า AI สามารถช่วยติดตามอาการผู้ป่วยโควิดจากที่บ้านได้อย่างไร
22 May 2020
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.