Thitiya Trithipkaiwapon

Thitiya Trithipkaiwapon

Senior Data Scientist at Big Data Institute (Public Organization), BDI

บทความทั้งหมด

All Articles

Author Category Post Filter
รู้จัก MICROSOFT COPILOT AI ที่ช่วยลดระยะเวลาในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของคุณ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา AI หรือ Artificial Intelligence คงเป็นคำที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่ง AI นั้นได้มีบทบาทและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงเปลี่ยนรูปแบบการใชชีวิต และการทำงานของคนหลายคนอีกด้วย Microsoft Copilot เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ทาง Microsoft พัฒนาขึ้นโดยใช้ความสามารถของ Generative AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Application ต่าง ๆ เช่น Microsoft Office และ Microsoft Excel เป็นต้น  ในบทความนี้เราจะพูดถึงว่า Generative AI คืออะไร และ Microsoft Copilot สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง Generative AI คืออะไร Generative AI (Generative Artificial Intelligence) คือ AI ที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) มาใช้ในการสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ในรูปแบบอัตโนมัติ เช่น ภาพ, เสียง, วิดีโอ, เนื้อหาข้อความ และ อื่นๆ ยกตัวอย่าง โมเดลที่เห็นได้ชัดกันทุกวันนี้คือ ChatGPT เป็นโมเดลที่ใช้ความสามารถของ Generative AI ในการประมวลผลจากเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต และ สร้างสรรค์คำตอบให้ตรงกับคำถามที่ทางผู้ใช้งาน input เข้าไป ณ ปัจจุบันมีหลายธุรกิจเริ่มมีการนำ Generative AI เข้ามาใช้งานกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่แปลกใหม่ ช่วยในการลดระยะเวลาในการทำงานเพื่อให้งานเสร็จไวยิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานในบางสายงาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันธุรกิจให้สามารถก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด และทาง Microsoft ก็ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ ของ Generative AI จึงสร้างฟีเจอร์ Microsoft Copilot เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Microsoft Copilot สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น Microsoft Copilot ใช้ Generative AI มาประยุกต์เพื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Application ผมจะขอยกตัวอย่างทีละ Application ว่า Microsoft Copilot มีบทบาทอย่างไร Microsoft Teams เราสามารถนำ Microsoft Copilot มาใช้ในการประชุม Team เพื่อสรุปประเด็นการสนทนาที่สําคัญ รวมถึงแนะนํารายการการดําเนินการทั้งหมดแบบเรียลไทม์ในระหว่างการประชุม นอกเหนือจากด้านการประชุม Microsoft Copilot ก็สามารถที่จะรวบรวมทุกอย่างใน Teams ไว้ด้วยกัน เช่น บันทึก, อีเมล์, ปฏิทิน และ งานนำเสนอ เพื่อช่วยให้เราสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น รูปที่ 1 Microsoft Teams with Copilot(Source: https://copilot.cloud.microsoft/th-th/copilot-teams) Microsoft Word ในด้านของงานเอกสารหากเรา ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไร Microsoft Copilot สามารถที่จะช่วยสร้างแบบร่าง เพื่อเป็นไอเดียเบื้องต้นให้เราเริ่มเขียนได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือ บางทีหากเราเขียนเอกสารไปจนถึงกลางทางแล้วเกิดคิดไม่ออก Microsoft Copilot ก็สามารถที่จะช่วยต่อยอดจากเนื้อหาที่มีอยู่แล้วได้อีกด้วย นอกเหนือจากนี้ Microsoft Copilot สามารถแปลงข้อความที่เราเขียนให้กลายเป็นตารางได้ทันที เพื่อประหยัดเวลาในการสร้างตารางอีกด้วย และสุดท้ายหากเราต้องการจากเนื้อหาจำนวนมาก Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์ที่สามารถช่วยสรุปใจความสำคัญได้ทันที รูปที่ 2 Microsoft Word with Copilot(Source: https://copilot.cloud.microsoft/th-th/copilot-word) Microsoft PowerPoint Microsoft Copilot สามารถสร้างงานนำเสนอด้วยเทมเพลตที่มีอยู่ ด้วยธีมที่เรามีอยู่แล้ว หรือสร้างงานนำเสนอใหม่ด้วยธีมหรือเทมเพลตจากไฟล์ใหม่แบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการสร้างงานนำเสนอใหม่ตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามเราอาจจะต้องมีการตรวจสอบอีกรอบนึงหลังจากใช้ฟีเจอร์นี้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด นอกจากนี้ Microsoft Copilot ยังสามารถสร้างงานนําเสนอจากเอกสาร Word หรือ PDF ได้ทันทีอีกด้วย ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาการทำงานนำเสนอได้อย่างมาก ถ้าเทียบกับการที่เราต้องค่อยๆ หยิบเอาข้อมูลจาก Word หรือ PDF มาใส่ใน PowerPoint รูปที่ 3 Microsoft PowerPoint with Copilot(Source: https://copilot.cloud.microsoft/en-us/copilot-powerpoint) Microsoft Excel สำหรับ Microsoft Excel ตัว Microsoft Copilot ก็ยังสามารถช่วยให้เราสํารวจและทําความเข้าใจข้อมูลได้ดีขึ้น โดยการสร้างกราฟ Visualization ข้อมูลเบื้องต้น และถ้าเราต้องการจะดูข้อมูลเชิงลึก Microsoft Copilot ก็สามารถช่วยวิเคราะห์และแสดงภาพข้อมูลเชิงลึกได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยไฮไลต์ กรอง และ เรียงลำดับข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น และถ้าหากเราต้องการใช้สูตรในการคำนวณที่ซับซ้อนทาง Microsoft Copilot ก็สามารถให้คำแนะนำและเสนอสูตรที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการ รูปที่ 4 Microsoft Excel with Copilot(Source: https://copilot.cloud.microsoft/en-us/copilot-excel) OneNote นอกจากนี้ Microsoft Copilot ก็สามารถนำมาใช้กับ OneNote ได้เช่นกัน โดย Microsoft Copilot จะช่วยสรุปข้อความใน page ที่เราเคยจดมาจากการประชุม หรือ อื่น ๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถแชร์ให้คนอื่นอ่านและเข้าใจได้ง่าย สามารถสร้าง to-do list อัตโนมัติจากสิ่งที่เราจดโน้ตเอาไว้ รวมถึงสร้าง plan สำหรับงานอีเว้นท์, การประชุม และ งานเฉลิมฉลอง จากข้อมูลที่มีได้อีกเช่นกัน รูปที่ 5 Microsoft OneNote with Copilot(Source: https://copilot.cloud.microsoft/en-us/copilot-onenote) อย่างไรก็ตาม Microsoft Copilot ก็ไม่ใช่เครื่องมือ AI เพียงเครื่องมือเดียวที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร  ยังมี AI อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการช่วยเหลือเหมือนกับ Microsoft Copilot เช่น บทสรุป จากสิ่งที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า Microsoft Copilot สามารถช่วยเหลือการทำงานของเราได้ ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม, การทำเอกสาร, การทำงานนำเสนอ และ อื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม AI อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป ในบางงาน Microsoft Copilot...
25 September 2024
เรื่องน่ารู้ของ SUSHIRO กับการนำข้อมูลมาบริหารงานจนกลายเป็นร้านซูชิสายพานชั้นนำ
ทุกท่านเคยสงสัยไหมครับว่า แบรนด์ซูชิสายพานชื่อดังอย่าง SUSHIRO ทำไมถึงมียอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่น และยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ? โดยวันนี้เราจะมาเจาะลึกกันดูว่า ร้านซูชิสายพานที่มองจากภายนอก ก็เหมือนร้านซูชิสายพานอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปนั้นมีกลยุทธ์อะไรแอบแฝงเอาไว้ ซึ่งนำพาความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่มาให้กับทาง SUSHIRO กันครับ การปรับตัวตามพฤติกรรมของลูกค้า และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้พฤติกรรมของประชากรในการรับประทานอาหาร มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร โดยทาง SUSHIRO ได้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป จากปกติที่ลูกค้าส่วนใหญ่ หรือเกือบหมดทั้งร้านมักจะหยิบจานซูชิที่ตัวเองต้องการจากบนสายพาน แต่กลับกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีวัยรุ่นญี่ปุ่นคนหนึ่งลงคลิปอมขวดโชยุ, เลียขอบถ้วยน้ำชา และเอาน้ำลายป้ายบนซูชิที่อยู่บนสายพาน (Source: https://www.amarintv.com/spotlight/business-marketing/detail/40488) จึงทำให้ลูกค้าเกิดความไม่สบายใจ และหันมาใช้การสั่งเมนูซูชิจากหน้าจอแทน ซึ่งทำให้ทาง SUSHIRO ได้วางแผนพัฒนาระบบ ให้มีการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้นรวมถึงการเพิ่ม feature ต่าง ๆ ในการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้า นอกจากนี้ทาง SUSHIRO ยังเล็งเห็นถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำให้เกิด ประสบการณ์ไร้สัมผัส หรือเรียกว่า Contactless โดยเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทาง SUSHIRO นำมาใช้เช่น 1. การคำนวณเงินของลูกค้า และสามารถนำไปจ่ายได้เองแบบอัตโนมัติ ผ่านตู้ที่ตั้งอยู่บริเวณทางออกของร้าน ซึ่งจะค่อนข้างคล้ายกับการจ่ายเงินแบบ prompt pay ที่หลาย ๆ ร้านก็ได้มีการนำมาใช้กัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องนำใบเสร็จ ไปยื่นที่เคาน์เตอร์ ให้กับพนักงานก่อนที่จะจ่ายเงิน 2. มีจุดรับสินค้าล็อกเกอร์ เมื่อลูกค้าต้องการสั่งอาหารแบบกลับบ้าน เทคโนโลยี IC TAG เพื่อตรวจจับและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์กับ Big Data เทคโนโลยี IC Chip Tag ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดของ SUSHIRO ซึ่งตัว IC Chip Tag นั้นจะเป็นอุปกรณ์เหมือนปุ่ม สีดำติดไว้อยู่ด้านล่างของจานซูชิแต่ละใบ โดยที่อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยในการตรวจจับและเก็บข้อมูลว่า จานซูชิที่อยู่บนสายพานนั้นถูกหยิบออกไปบ่อยที่สุด ที่ตำแหน่งไหน ประเภทอะไรบ้าง ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นจึงทำการส่งข้อมูลไปยัง Supply Instructions System ซึ่งอยู่ในครัวของทางร้าน SUSHIRO โดยระบบ Supply Instruction System จะทำการรับข้อมูลจาก IC Chip Tag มาวิเคราะห์ และให้ข้อมูลกับเชฟว่า เชฟควรจัดเตรียมจานซูชิชนิดใดบ้าง ในช่วงเวลานั้น ๆ  เพื่อให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่นั่นเอง นอกจากนี้ ตัว IC Chip Tag ก็ยังสามารถที่จะระบุได้ว่า ซูชิจานไหนที่ไม่มีคนหยิบเลยมานานเท่าไหร่แล้ว โดยการคำนวณจากระยะทางที่ ซูชิจานนั้นๆ ได้เคลื่อนที่ไปบนสายพาน ซึ่งถ้าหากซูชิจานใดมีระยะทางเกินกว่ามาตรฐาน ซึ่งก็คือ 350 เมตร ทางร้านก็จะทำการนำเอาซูชิจานนั้น ๆ ออกจากสายพานทันที เพื่อไม่ให้ลูกค้า ได้รับซูชิที่ไม่สดใหม่ เทคโนโลยีนี้ ยังสามารถช่วยลดการเกิดอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) ได้อีกเช่นกัน โดยในช่วงแรกที่ซูชิสายพานเข้ามาให้บริการ เชฟในแต่ละร้านจะไม่ทราบถึงความต้องการ ของลูกค้าที่แท้จริงได้ ทำให้เชฟต้องคาดการณ์วัตถุดิบที่จะเอามาใช้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าหากคาดการณ์ผิดของเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอาหารเหลือทิ้งทันที แต่ด้วยข้อมูลที่ถูกเก็บมาอย่างต่อเนื่องอย่างมหาศาล ผ่าน IC Chip Tag จนกลายเป็น Big Data นั้น ทำให้ทางร้านสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ มาใช้วิธีการคำนวณทางสถิติ และทำการคาดการณ์เมนูต่าง ๆ ที่จะทำขึ้นมาในอนาคตให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น และยังสามารถลดการเกิดอาหารเหลือทิ้งจากปกติ 10% เหลือแค่เพียง 4% เท่านั้น เทคโนโลยีเครื่องจักรผลิตข้าวปั้นเสมือนมนุษย์ นอกจากนี้ทางร้าน SUSHIRO นั้นยังนำเอาเครื่องจักรสำหรับผลิตข้าวปั้นมาใช้ แต่ว่าเครื่องจักรเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องจักรทั่ว ๆ ไปที่เหมือนกับโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากเครื่องจักรที่ทางร้านนำมาใช้นั้นสามารถที่จะปั้นข้าวปั้นได้เทียบเท่ากับฝีมือมนุษย์ปั้น โดยที่ข้าวปั้นนั้นจะมีอุณหภูมิเดียวกันอุณภูมิของคน และยังสามารถผลิตข้าวปั้นได้ถึง 3,600 ก้อนต่อชั่วโมง โดยกระบวนการนี้จะช่วยทำให้ร้าน SUSHIRO สามารถทำออเดอร์ตามที่ลูกค้าต้องการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลารอนาน และ สอดคล้องกับมาตรฐานของทางร้านที่ว่า เมนูที่ลูกค้าสั่งนั้น จะต้องไปเสิร์ฟถึงโต๊ะผ่านรถไฟขบวนจิ๋วภายใน 3 นาทีนับจากเวลาที่ลูกค้ากดสั่ง อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะทำทุกอย่างได้ พนักงานในร้านก็ถือเป็นส่วนสำคัญ เช่น การทำความสะอาดภายในร้าน และการวางซูชิลงบนสายพาน เป็นต้น สุดท้ายนี้ การนำเทคโนโลยีและ Big Data เข้ามาใช้ในการบริหารธุรกิจนั้น อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากหลาย ๆ บริษัทก็ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีและ Big Data มาใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจัยสำคัญคือการนำข้อมูลเหล่านั้น มาใช้ให้ถูกทางและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทำให้ SUSHIRO นั้นเป็น 1 ในร้านซูชิสายพานที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน และในอนาคตทาง SUSHIRO ก็อาจมีกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่สร้างความน่าสนใจให้กับพวกเราได้อีกมากมาย มาคอยจับตาดูกันครับ เขียนโดย ทิติยะ ตรีทิพไกวัลพรเรียบเรียงและแก้ไขโดย อนันต์วัฒน์ ทิพย์ภาวัต
17 July 2023
อะไรคือเกม NFT และประโยชน์ของเกม NFT คืออะไร?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกท่านน่าจะพอรู้จักอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเกมกันไม่มากก็น้อยอยู่แล้วใช่มั้ยครับ ว่ามีเกมทั้งประเภท ออฟไลน์ และออนไลน์ที่ผลิตออกมาเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน และความสนุกสนานรวมไปถึงการสร้างรายได้จากการเล่นเกมเช่นกัน โดยในยุคปัจจุบันได้มีเกมในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าเกม NFT ซึ่งใช้ระบบบล็อกเชน (Blockchain) หรือก็คือเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ที่ช่วยในการบันทึกข้อมูลโดยใช้หลักการเข้ารหัส (Cryptography) ร่วมกับกลไลฉันทามติ (Consensus) เพื่อทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสและไม่สามารถถูกแก้ไขได้ (Immutable) พอถึงตรงนี้ก็อาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่าแล้วคำว่า NFT คืออะไร NFT หรือ Non-Fungible Token คือโทเค็นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเสมือนเป็นสิ่งของที่มีอยู่ชิ้นเดียวบนบล็อกเชน เพื่อให้ผู้ถือครองเป็นเจ้าของโทเค็นนั้น ๆ และเจ้าตัวโทเค็นเหล่านี้ ก็สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายได้เช่นกัน ต่อมาเราจะมาพูดถึง เกม NFT คืออะไร และต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปอย่างไร เกม NFT จริง ๆ แล้วก็เหมือนเกมออนไลน์ทั่ว ๆ ไปที่ผู้เล่นสามารถรับไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมได้โดยการเล่น หรือบรรลุภารกิจ ต่าง ๆ ภายในเกม และสามารถนำรางวัลที่ได้จากในเกม หรือไอเทมต่าง ๆ เป็น NFT และสามารถนำไปขายกับผู้เล่นคนอื่น ๆ แลกกับสกุลเงินดิจิทัล แล้วจึงแลกออกมาเป็นเงินจริงได้ในที่สุด ซึ่งตรงนี้ทุกคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วมันต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไปยังไง เนื่องจากเกมออนไลน์ทั่วไป ก็สามารถที่จะนำไอเทมต่าง ๆ ที่สะสมภายในเกม แลกเปลี่ยนกับผู้เล่นอื่น ๆ เพื่อสร้างเป็นระบบเศรษฐกิจทั้งในเกม และนอกเกมได้เช่นกันโดยที่ไม่ต้องมี NFT อย่างไรก็ตาม จุดที่ต่างกันสำหรับเกมออนไลน์ทั่วไปกับเกม NFT นั้นคือไอเทมต่าง ๆ ภายในเกมที่ผู้เล่นสามารถเก็บสะสมมาได้นั้น ไม่ถือว่าผู้เล่นได้เป็นเจ้าของพวกมันอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากไอเทมเหล่านั้นถูกเก็บข้อมูลไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเกม ทำให้ผู้ดูแลเกมสามารถแก้ไขข้อมูลทุกอย่างในเซิร์ฟเวอร์นี้ได้หากต้องการ นั่นหมายความว่าสถานะการถือครองของในเกมของเราขึ้นอยู่กับผู้ดูแลเกมโดยสมบูรณ์ ในทางกลับกัน ไอเทมในเกม NFT จะถือว่าเป็นของผู้เล่นจริง ๆ และไม่มีใครสามารถเอาไอเทมนี้ของเราไปได้ ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไม เกม NFT ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้เล่นที่ต้องการสร้างรายได้จากการเล่นเกม แล้วทำไมผู้ดูแลถึงไม่สามารถทำอะไรกับไอเทมของเราได้ละ? ซึ่งก็เพราะว่าเรามี private key หรือกุญแจในการอนุมัติการโอนสินทรัพย์ หรือไอเทมของเราไปให้คนอื่น นอกจากนี้ข้อมูลไอเทมก็ยังถูกเก็บแบบกระจายศูนย์ ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรก เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ยากมาก ๆ ในการที่ใครจะแก้ไขสถานะการถือครองทรัพย์สินของเราไปให้คนอื่นโดยปราศจากความสมัครใจของเรา เศรษฐกิจโลกของวิดีโอเกม บล็อกเชน และสกุลเงินดิจิทัลเติบโตขึ้นทุกวัน ดังนั้นการสร้างรายได้ผ่านตลาดบล็อกเชน และตลาดคริปโตนั้นถือเป็นวิธีการที่มีศักยภาพอย่างมากในช่วงนี้ โดยเกม NFT นั้นได้กลายเป็นวิธีใหม่ในการสร้างตลาดสินค้า และบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกันยังดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้เล่นในเกมอีกด้วย มูลค่าของเกมจึงถูกกำหนดด้วยจำนวนผู้เล่นที่มีความเกี่ยวข้องกับเกมเป็นประจำ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่เกม NFT สามารถเพิ่มมูลค่าของตลาดเกมได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้เกม NFT ก็ยังนำเสนอตัวเลือกใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนและผู้เล่นตลอดเวลาอีกเช่นกัน ถึงตรงนี้ทุกท่านอาจจะเห็นภาพของเกม NFT กันยังไม่ชัดเจนใช่มั้ยครับ เราจะขอยกตัวอย่างเกม Axie Infinity เพื่อขยายความให้เห็นภาพกันชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ Axie Infinity ถือว่าเป็น 1 ในเกม NFT ที่ประสบความสำเร็จที่สุดโดยเกมมีลักษณะเหมือนกับการนำส่วนผสมของเกมโปเกม่อน และเกมแนวการ์ดมาไว้ด้วยกัน โดยที่ผู้เล่นจะต้องมี Axie อย่างน้อย 3 ตัวเพื่อที่จะเล่นในโหมดผจญภัย หรือลานประลองของเกมได้ ซึ่งรูปแบบการเล่นจะเป็นแบบ Turn-Based โดยผู้เล่นจะต้องเลือกการ์ด เพื่อออกท่าโจมตีให้กับ Axie เพื่อใช้ในการต่อสู้กับ Axie ของผู้เล่นคนอื่น ๆ นอกจากนี้ตัวเกมก็ยังมีโหมดที่สามารถผสมพันธุ์ Axie เข้าด้วยกันเพื่อทำให้เราได้รับ Axie ที่มีความเก่งและหายากมากขึ้นอีกด้วย เกม Axie Infinity นั้นมียอดผู้เล่นกว่า 1 ล้านรายต่อวันและมีมูลค่าเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเกม เทียบเท่ากับ GDP ของบางประเทศเลยทีเดียว ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สามารถบอกได้เลยว่าเกม Axie Infinity นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับระบบเศรษฐกิจภายในเกมนั้นจะมีการซื้อ-ขาย แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ 1. ขวด Smooth Love Potion (SLP) เป็นหนึ่งใน Cryptocurrency ที่มีการซื้อขายในตลาด ซึ่งได้จากการเล่นเกมทั้งในแบบผจญภัย หรือลานประลอง โดยตัวขวด SLP นี้เองจะใช้ในการผสมพันธุ์ Axie เพื่อให้ได้ Axie พันธุ์ใหม่ที่มีความหายากมากกว่าเดิมนั่นเอง 2. เหรียญ Axis Infinity Shards (AXS) จะได้รับจากการเล่นในโหมดลานประลอง โดยที่ผู้เล่นจะต้องแข่งกันให้ได้อันดับสูงที่สุดเพื่อที่จะได้รับเหรียญในจำนวนที่มากขึ้น โดยเหรียญ AXS นั้นจะมีไว้ใช้ในการโหวตเพื่อกำหนดทิศทางพัฒนาเกม (Governance) ได้ 3. การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ NFT นั่นคือตัว Axie และไข่ของตัว Axie นั่นเอง ซึ่งการขายตัว Axie และไข่ของ Axie ก็เป็นอีก 1 ช่องทางสำหรับการซื้อ-ขาย โดยที่ผู้เล่นสามารถนำ Axie ที่มีอยู่มาผสมพันธุ์ เพื่อให้ได้ Axie ตัวใหม่ที่มีลักษณะพิเศษ และขายในตลาดในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งการจะผสมพันธุ์ได้นั้น จะต้องใช้ขวด SLP และค่าธรรมเนียม AXS 2 เหรียญ โดยระยะเวลาที่ต้องรอคอยประมาณ 5 วัน ก่อนไข่จะฟัก แต่ผู้เล่นสามารถขายไข่ในตลาดได้เลย โดยที่ไม่ต้องรอให้ฟักจนเสร็จ จากระบบเศรษฐกิจที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้นให้อะไรกับผู้เล่นและผู้พัฒนาบ้างละ ? สำหรับผู้เล่นนั้นจะได้รายได้จากการขายขวด SLP และเหรียญ AXS ที่ได้รับจากลานประลองหรือการขาย Axie หรือไข่ ให้กับผู้เล่นอื่น ๆ ที่ต้องการ ส่วนผู้เล่นที่ซื้อนั้นก็จะได้ Axie ที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้นสามารถนำไปผสมพันธุ์และต่อยอดเพื่อเล่นในโหมดอารีน่าให้ได้อันดับที่สูงมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้พัฒนานั้นจะได้รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของผู้เล่น ซึ่งยิ่งมีจำนวนผู้เล่นมากผู้พัฒนาก็ได้รายได้จากค่าธรรมเนียมมากขึ้นเช่นกัน หลังจากที่เราพูดถึงแต่ข้อดีหรือประโยชน์ของ NFT กันแล้ว เราจะมาพูดถึงความเสี่ยงของการเล่นเกม NFT กันบ้าง จากที่ผมได้กล่าวไว้ว่า เกม NFT สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เล่นได้ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้กำไรก็ย่อมที่จะต้องมีการลงทุนก่อนครับ (Pay-To-Play)  ซึ่งการลงทุนก็คือการใช้เงินจริงๆ ซื้อทรัพย์สินภายในเกมเพื่อใช้ในการเล่นเกมนั่นเอง โดยตามหลักแล้วถ้าหากเราลงทุนจำนวนมากก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้กำไรที่ค่อนข้างมากเช่นกัน แต่ทว่าเกมส่วนใหญ่นั้น ใช้วิธีการหาเงินในลักษณะการพึ่งพาเงินของผู้เล่นใหม่เพื่อที่จะจ่ายผู้เล่นเก่าซึ่งมันไม่ค่อยยั่งยืนครับ และพอเมื่อมีจำนวนผู้เล่นที่ลดลงเรื่อย ๆ และไม่ค่อยมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเล่นเกมอีก ราคาของสินทรัพย์ หรือไอเทมภายในเกมมีราคาที่ตกลงเรื่อยๆ เนื่องจากความต้องการซื้อ  (Demand) ลดลงแต่ความต้องการขาย (Supply) ยังคงเท่าเดิม จนทำให้ผู้เล่นนั้นสูญเสียเงิน และขาดทุนในที่สุด นอกจากนี้จะมีอีกคำหนึ่งที่หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินกันบ่อย ๆ กับคำว่า Rug Pull ซึ่งนั่นคือเหตุการณ์ที่นักต้มตุ๋นทั้งหลาย ได้โปรโมทตัวเกม NFT ด้วยภาพ, คำโฆษณาเกี่ยวกับระบบเกม...
21 July 2022
การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของไฮเปอร์พารามิเตอร์ (Sensitivity Analysis of Hyperparameters)
การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของไฮเปอพารามิเตอร์
29 December 2021
PDPA Icon

We use cookies to optimize your browsing experience and improve our website’s performance. Learn more at our Privacy Policy and adjust your cookie settings at Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning on/off each type of cookie as needed, except for necessary cookies.

Accept all
Manage Consent Preferences
  • Strictly Necessary Cookies
    Always Active

    This type of cookie is essential for providing services on the website of the Personal Data Protection Committee Office, allowing you to access various parts of the site. It also helps remember information you have previously provided through the website. Disabling this type of cookie will result in your inability to use key services of the Personal Data Protection Committee Office that require cookies to function.
    Cookies Details

  • Performance Cookies

    This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

  • Functional Cookies

    This type of cookie enables the Big Data Institute (Public Organization)’s website to remember the choices you have made and deliver enhanced features and content tailored to your usage. For example, it can remember your username or changes you have made to font sizes or other customizable settings on the page. Disabling these cookies may result in the website not functioning properly.

  • Targeting Cookies

    "This type of cookie helps the Big Data Institute (Public Organization) understand user interactions with its website services, including which pages or areas of the site are most popular, as well as analyze other related data. The Big Data Institute (Public Organization) also uses this information to improve website performance and gain a better understanding of user behavior. Although the data collected by these cookies is non-identifiable and used solely for statistical analysis, disabling them will prevent the Big Data Institute (Public Organization) from knowing the number of website visitors and from evaluating the quality of its services.

Save settings
This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.