เตรียมตัวก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนกับการใช้ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการคาร์บอน

เตรียมตัวก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนกับการใช้ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการคาร์บอน

16 มกราคม 2568

บทนำ

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่เร่งด่วนและส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน การจัดการคาร์บอนเครดิตจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บทความนี้จะสำรวจบทบาทของการใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต (carbon credit) และการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) ทั้งในระดับองค์กรและบุคคล

คาร์บอนฟุตพรินต์และคาร์บอนเครดิต: ความหมายและความสำคัญ

คาร์บอนฟุตพรินต์ หมายถึง ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของบุคคลหรือองค์กร วัดในหน่วยของตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ส่วน คาร์บอนเครดิต เป็นหน่วยที่ใช้วัดการลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเครดิตหนึ่งหน่วยเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหนึ่งตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การใช้คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือสำคัญในการชดเชยคาร์บอนฟุตพรินต์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ความสำคัญของการรู้คาร์บอนฟุตพรินต์และการวิเคราะห์ข้อมูล

การทราบคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรหรือบุคคลช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาใช้ในการระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกำหนดมาตรการลดการปล่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการปล่อยก๊าซแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการลดคาร์บอนมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น​ (MIT News)​ (Ecosystem Marketplace).

กรณีศึกษาการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์

  • สหรัฐอเมริกา: บริษัท Microsoft มุ่งมั่นที่จะเป็นคาร์บอนเนกาทีฟ (carbon negative) ภายในปี 2030 โดยใช้ข้อมูลในการประเมินและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เช่น การลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและการชดเชยคาร์บอนผ่านโครงการต่าง ๆ​ (PERSPECTIVES).
  • ญี่ปุ่น: ประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ข้อมูลในการประเมินและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน​ (Ecosystem Marketplace).
  • ประเทศไทย: ในประเทศไทย โครงการ Thailand Voluntary Emission Trading Scheme (TVETS) เป็นตัวอย่างของการใช้คาร์บอนเครดิตในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในภาคพลังงานที่เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศ​ (IEA).

วิธีการเริ่มต้นประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์

การเริ่มต้นประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ควรเริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงาน การขนส่ง และการบริโภคทรัพยากร จากนั้นใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์เฉพาะทางในการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์เบื้องต้น เพื่อหาแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การลดคาร์บอนฟุตพรินต์เมื่อพบว่ามีการปลดปล่อยสูง

หากพบว่ามีการปล่อยคาร์บอนในระดับสูง สิ่งที่ควรทำคือการวิเคราะห์แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพิจารณามาตรการลด เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน และการเข้าร่วมโครงการฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอน

คาร์บอนเครดิตและการชดเชยคาร์บอน (carbon offset)

คาร์บอนเครดิตช่วยให้เกิดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านโครงการการชดเชยคาร์บอน เช่น การปลูกป่าและการใช้พลังงานหมุนเวียน การทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) มีข้อท้าทายหลายประการ เช่น ความซับซ้อนในการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือของโครงการ offset​ (Ecosystem Marketplace)​ (PERSPECTIVES)

ตัวอย่างกิจกรรมที่ทำให้เกิดคาร์บอนเครดิต

ตัวอย่างของกิจกรรมที่ทำให้เกิดคาร์บอนเครดิต เช่น การปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทำลาย การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในระดับท้องถิ่น และการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง​ (PERSPECTIVES).

ข้อมูลกับบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการการปลดปล่อยคาร์บอน

ในยุคที่ข้อมูลเป็นทรัพยากรที่มีค่า การนำข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการการปลดปล่อยคาร์บอนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง การรวบรวม วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยคาร์บอนสามารถช่วยให้องค์กรหรือบุคคลเข้าใจแหล่งที่มาของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำไปสู่การวางแผนและดำเนินการเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้งานข้อมูลอย่างเหมาะสมจะช่วยในการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ ทำให้เราสามารถระบุแหล่งที่มาของการปลดปล่อยคาร์บอนที่สำคัญที่สุด และหาแนวทางลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ ข้อมูลยังเป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต ช่วยสร้างความโปร่งใสในระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และช่วยให้องค์กรหรือบุคคลสามารถสร้างการชดเชยคาร์บอน (carbon offset) และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ได้

ประโยชน์ของการใช้ข้อมูลในการบริหารจัดการการปลดปล่อยคาร์บอนไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับกฎหมายและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การใช้งานข้อมูลในการจัดการคาร์บอนยังเปิดโอกาสให้องค์กรหรือบุคคลสามารถเข้าร่วมในโครงการสร้างคาร์บอนเครดิตที่ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว

จะเห็นได้ว่า ข้อมูลไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดการปลดปล่อยคาร์บอน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

ผู้เขียน ดร.พีรดล สามะศิริ, ChatGPT

ตรวจทานโดย ดร.อิสระพงศ์ เอกสินชล

แบ่งปันบทความ

กลุ่มเนื้อหา

แท็กยอดนิยม

แจ้งเรื่องที่อยากอ่าน

คุณสามารถแจ้งเรื่องที่อยากอ่านให้เราทราบได้ !
และเราจะนำไปพัฒนาบทความให้มีเนื้อหาที่น่าสนใจมากขึ้น

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ “นโยบายคุ้กกี้” และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ “ตั้งค่า”

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้ BDI ทราบถึงการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของ BDI รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่น ๆ BDI ยังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากขึ้น ถึงแม้ว่า ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ BDI ไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้

  • คุกกี้เพื่อการใช้งานเว็บไซต์ (Functional Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของ BDI จดจำตัวเลือกต่าง ๆ ที่ท่านได้ตั้งค่าไว้และช่วยให้เว็บไซต์ส่งมอบคุณสมบัติและเนื้อหาเพิ่มเติมให้ตรงกับการใช้งานของท่านได้ เช่น ช่วยจดจำชื่อบัญชีผู้ใช้งานของท่าน หรือจดจำการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าขนาดฟอนต์หรือการตั้งค่าต่าง ๆ ของหน้าเพจซึ่งท่านสามารถปรับแต่งได้ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้อาจส่งผลให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ BDI ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ BDI แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

บันทึกการตั้งค่า
ไซต์นี้ลงทะเบียนกับ wpml.org ในฐานะไซต์พัฒนา สลับไปยังไซต์การผลิตโดยใช้รหัส remove this banner.